เพราะบริบทของฟุตบอล
ไม่ได้มีเพียงการแข่งขันในสนามเท่านั้น แต่ผูกติดกับประวัติศาสตร์
ที่สะท้อนถึงตัวตนของสโมสรฟุตบอลแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ฉายา, ตราสัญลักษณ์
หรือแม้กระทั่งชื่อสนามแข่งขัน
เริ่มจากฉายา
ก็เปรียบเสมือนชื่อเล่น ที่ใช้เรียกแทนชื่อจริงของสโมสรฟุตบอลนั้นๆ
เพื่อให้จดจำง่าย พร้อมกับข่มขวัญคู่ต่อสู้ไปในตัวด้วย ถือเป็นสีสัน
และช่วยเพิ่มอรรถรสในการติดตามการแข่งขันมากขึ้น
ต่อด้วยโลโก้
ที่สโมสรได้ออกแบบขึ้นมา ไม่ได้มีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ต้องโดดเด่น
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งส่งผลถึงการรับรู้ และการจดจำของแฟนลูกหนัง
อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในระยะยาว
อีกทั้งแต่ละสโมสร
ก็มีสนามเหย้าที่ได้ตั้งชื่อขึ้นมาด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะมาจากชื่อสถานที่ตั้ง, ชื่อบุคคลสำคัญ, ประวัติศาสตร์, ธุรกิจ หรือเหตุผลอื่นๆ ที่แปลกประหลาด ทำเอาหลายคนคาดไม่ถึง
ต่อไปนี้คือเบื้องหลังที่หลายคนอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับฉายา, โลโก้ และสนามเหย้าทั้ง 20 สโมสร ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023/24 ที่นำมาฝากกัน เพื่อเป็นเกร็ดความรู้สำหรับแฟน ๆ ลูกหนังอังกฤษ
อาร์เซน่อล
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม พื้นสีแดง
มีขอบเล็กๆ สีขาว และสีน้ำเงินเข้ม หมายถึงสีประจำสโมสร ตรงกลางมีชื่อสโมสร (Arsenal)
และรูปปืนใหญ่ สะท้อนถึงสโมสรที่ทรงพลังและมีอิทธิพล
– ฉายา : “The
Gunners” หมายถึง ปืนใหญ่ เหตุผลที่ได้รับฉายานี้ ก็เพราะว่า
ก่อนที่สโมสรจะย้ายมาอยู่ในกรุงลอนดอน เดิมทีเคยอยู่ในย่าน “โบโร่ ออฟ วูลวิช”
ซึ่งเป็นย่านของกลุ่มคนงานผลิตปืนใหญ่เพื่อส่งให้กองทัพของสหราชอาณาจักร
– สนามเหย้า : สังเวียนลูกหนังที่ชื่อว่า “เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม” สร้างขึ้นเมื่อปี 2004 และเปิดใช้งานครั้งแรกในอีก 2 ปีต่อมา โดยชื่อสนามมีที่มาจาก Emirates บริษัทสายการบินแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สปอนเซอร์หลักของสโมสร
แอสตัน
วิลล่า
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ใหม่ล่าสุด กลับไปใช้แบบวงแหวนเหมือนช่วงยุค 1980-1990 มีสีเลือดหมู และสีฟ้า สื่อถึงสีประจำสโมสร มีชื่อสโมสร (Aston
Villa) และปีที่ก่อตั้ง (1874) ตัวหนังสือสีเหลือง
ตรงกลางมีรูปสิงโตหันหน้าไปทางขวา และมีรูปดาวห้าแฉก 1 ดวง อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของสิงโต สื่อถึงการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ
เมื่อปี 1982
– ฉายา : ฉายาแรก “The Lions” หมายถึง สิงโตที่อยู่ในธง Royal
Standard ของสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของจอร์จ แรมซีย์
และวิลเลียม แม็กเกรเกอร์ 2 ผู้ก่อตั้งสโมสร
อีกฉายาคือ “The Villans” ที่สื่อถึงสโมสรแอสตัน วิลล่า
– สนามเหย้า : ชื่อสนามเหย้าที่แท้จริงคือ Aston Lower Grounds แต่ถูกมองว่าสื่อความหมายไปในทางลบ จึงได้เรียกชื่อใหม่ว่า “วิลล่า พาร์ค” (Villa Park) มาจากชื่อของ Aston Hall ที่ตั้งของสนามในปัจจุบัน ซึ่งเคยถูกใช้เป็นสวนสนุกมาก่อน
บอร์นมัธ
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม พื้นสีแดงเชอร์รี่
และมีแถบสีดำ 2 แถบอยู่ด้านขวา
สื่อถึงสีประจำสโมสร ด้านบนมีชื่อสโมสร (AFC Bournemouth) สีขาว
ตรงกลางมีรูปผู้ชาย และมีลูกฟุตบอลอยู่เหนือศีรษะ
ซึ่งผู้ชายที่อยู่ในโลโก้ของสโมสร คือ ดิกกี้ ดอว์เซตต์
ตำนานดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของบอร์นมัธ ทำได้ 79 ประตู
– ฉายา : ที่มาของฉายา “The Cherries” มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทาง คือมาจากสีประจำสโมสร ที่เป็นโทนสีแดงเชอร์รี่
หรือมาจากในสมัยก่อนมีสวนเชอรืรี่ที่อยู่ติดกับสนามเหย้าของสโมสร
ซึ่งไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า เหตุผลใดคือเหตุผลที่แท้จริง
– สนามเหย้า : เดิมมีชื่อว่าดีน คอร์ต (Dean Court) เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1910 ต่อมาในปี 2015 Vitality บริษัทด้านประกันสุขภาพของอังกฤษ
ได้เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสร และเปลี่ยนชื่อสนามเป็น “ไวตาลิตี้ สเตเดี้ยม”
เบรนท์ฟอร์ด
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ที่ใช้ในปัจจุบัน ประกอบด้วยวงแหวนสีแดง มีชื่อเต็มของสโมสร (Brentford
Football Club) แบ่งเป็นด้านบนและด้านล่าง และปีที่ก่อตั้ง (1889)
พื้นหลังมีสีขาว ตรงกลางมีรูปผึ้ง สื่อถึงสีและสัญลักษณ์ประจำสโมสร
– ฉายา : “The
Bees” ที่หมายถึง ผึ้ง แต่จริงๆ แล้วมีที่มาจากนักเรียนของ Borough
Road College ที่ร้องเพลงประจำสถาบัน ชื่อว่า “Buck up
Bs” แต่สื่อท้องถิ่นเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อเพลง “Buck up
Bees” และกลายเป็นฉายาของทีมในที่สุด
– สนามเหย้า : เดิมใช้ชื่อว่า เบรนท์ฟอร์ด คอมมูนิตี้ สเตเดี้ยม ต่อมาในปี 2022
Grey Technologgy(Gtech) บริษัทด้านเทคโนโลยีของอังกฤษ
ได้สนับสนุนสโมสรมาครบ 10 ปี
จึงเปลี่ยนชื่อสนามเหย้ามาเป็น “จีเทค คอมมูนิตี้ สเตเดี้ยม”
ไบรท์ตัน
แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นวงแหวนสีขาว มีชื่อเต็มของสโมสร (Brighton
& Hove Albion) ส่วนตรงกลางเป็นพื้นสีน้ำเงิน
และมีรูปนกนางนวลหันหน้าไปทางขวา สื่อถึงเมืองแห่งชายทะเล
เป็นที่อยู่อาศัยของนกนางนวล และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาเพื่ออนาคต
– ฉายา : “The
Seagulls” มาจากแนวคิดของแฟนบอลไบรท์ตันกลุ่มหนึ่ง
ที่พยายามจะตอบโต้ “The Eagles” ของคริสตัล พาเลซ
ทีมคู่ปรับของพวกเขา และโลโก้ของสโมสรก็เปลี่ยนจากปลาโลมา เป็นนกนางนวล
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
– สนามเหย้า : เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม (Amex stadium) โดย “Amex” ย่อมาจาก American Expressบริษัทด้านการเงินของสหรัฐอเมริกา แต่ในฤดูกาล 2023/24 ชื่อรังเหย้าได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อเต็มคือ “อเมริกัน เอ็กซ์เพรส สเตเดี้ยม”
เบิร์นลี่ย์
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีพื้นสีแดงอมม่วง มาจากตราประจำเมืองเบิร์นลี่ย์
ด้านบนมีรูปนกกระสา สื่อถึงตระกูล Starkie ตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง
นกตัวนี้ยืนอยู่บนเนินเขาและต้นฝ้าย สื่อถึงเมืองที่นิยมปลูกต้นฝ้าย
ถัดลงมา
มีผึ้ง 2 ตัว เป็นตัวแทนของการทำงานหนัก ตรงกลางมีรูปมือ สื่อถึงคำขวัญประจำเมือง “Hold
to the truth” (จงยึดมั่นในความจริง) ส่วนด้านล่างสุด มีสิงโต
ซึ่งเป็นตัวแทนของราชวงศ์ อยู่ภายในบั้ง ที่สื่อถึงแม่น้ำบรูนที่ไหลผ่านเมืองนี้
– ฉายา : “The
Clarets” แปลว่า สีแดงอมม่วง ซึ่งเป็นสีชุดแข่งหลักของสโมสร
เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1911 โดยได้แรงบันดาลใจจากชุดแข่งของแอสตัน
วิลล่า ที่คว้าแชมป์ลีกเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น
และยังเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในโลโก้ของสโมสรอีกด้วย
– สนามเหย้า : ชื่อของ “เทิร์ฟ มัวร์” มาจากคำที่ประกอบกัน 2 คำ คือคำว่า Turf ที่แปลว่า สนามหญ้า
และคำว่า Moor ซึ่งหมายถึง ที่โล่งแจ้ง
เนื่องจากในสมัยก่อน พื้นที่ของสนามแห่งนี้เป็นที่ดินเปล่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ
เชลซี
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นวงแหวนสีน้ำเงิน
แสดงถึงตราประจำเขตเชลซี ต่อด้วยรูปลูกฟุตบอลสีแดง
แสดงถึงความมุ่งมั่นในกีฬาฟุตบอล และดอกกุหลาบสีแดง สื่อถึงราชวงศ์แลงคาสเตอร์
ด้านในมีรูปสิงโตถือไม้เท้าสีน้ำเงิน
ได้แรงบันดาลใจมาจากแขนเสื้อของเอิร์ล คาโดแกน (เอิร์ล
คือระดับชั้นของขุนนางในสมัยก่อน) ซึ่งเป็นประธานสโมสรเชลซีในยุค 1950s สื่อถึงความรู้
และความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า
– ฉายา : ฉายาแรก “The Blues” หมายถึงสีประจำสโมสร คือ
สีน้ำเงิน อีกฉายาหนึ่งคือ “The Pensioners” ที่แปลว่า
ผู้เกษียณอายุ เนื่องจากในอดีต มีทหารผ่านศึกที่ผ่านสงครามโลก
มารับเงินบำนาญในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับสโมสรเชลซี
– สนามเหย้า : ชื่อสนามเหย้าของสโมสร มีที่มาจากการนำชื่อลำธาร Stanford Creek กับชื่อสะพานอีก 2 แห่ง Sanford Bridge และ Stanbridge มารวมกันเป็น สแตนฟอร์ด บริดจ์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “สแตมฟอร์ด บริดจ์” ในปัจจุบัน
คริสตัล
พาเลซ
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน ด้านบนเป็นรูปนกอินทรีสีน้ำเงิน
อยู่เหนือลูกฟุตบอลสีแดง สื่อถึงสีประจำสโมสร
ส่วนด้านล่างเป็นรูปอาคารกระจกขนาดใหญ่ลายเส้นสีเทา เพื่อใช้จัดงานนิทรรศการ (The
Great Exhibition) เมื่อปี 1851 ส่วนตัวเลข 1861 คือปีที่มีการก่อตั้งทีมสมัครเล่นของคริสตัล พาเลซ (ทีมชุดใหญ่ก่อตั้งในปี 1905)
– ฉายา : “The
Eagles” หรือ นกอินทรี มีที่มาจากฉายาของเบนฟิก้า
สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ในประเทศโปรตุเกส ซึ่งมัลคอล์ม อัลลิสัน
ผู้จัดการทีมในช่วงกลางยุค 1970s ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสโมสรดังกล่าว
จึงได้นำฉายานี้มาใช้
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “เซลเฮิสต์ พาร์ค” มาจากชื่อย่าน “Selhurst” ในแถบชานกรุงลอนดอน อยู่ห่างจากใจกลางเมืองหลวงประมาณ 9 ไมล์ สำหรับรังเหย้าของสโมสร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของย่านนี้
เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1924
เอฟเวอร์ตัน
– ตราสัญลักษณ์ : พื้นของโลโก้ มีสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำสโมสร
บนโลโก้มีรูปหอคอยที่ชื่อว่า “พรินซ์ รูเพิร์ต ทาวเวอร์”
ซึ่งในอดีตเคยถูกใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษ และพวงหรีดที่ขนาบข้าง
ก็ถือเป็นการไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตในหอคอยนี้ ส่วนด้านล่างมีคำขวัญเป็นภาษาละติน “Nil
satis nisi optimum” ที่แปลว่า ไม่มีอะไรต้องกลัว
เราจะทำแต่สิ่งที่ดีที่สุด
– ฉายา : ฉายาแรก “The Blues” หมายถึงสีประจำสโมสร คือ
สีน้ำเงิน อีกฉายาหนึ่งคือ “The Toffees” มีที่มาจากเจ้าของร้านขายลูกอมที่ชื่อ
มา บูแชล (Ma Bushell) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการแจกลูกอมให้กับแฟนบอลก่อนที่จะเข้าชมเกมในสนาม
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “กูดิสัน พาร์ค” มาจากชื่อของ จอร์จ วิลเลียม กูดิสัน (George William Goodison) วิศวกรโยธาผู้วางระบบระบายน้ำเสีย สนามแห่งนี้เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1892 และกำลังจะกลายเป็นอดีตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ฟูแล่ม
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร มีโครงสร้างที่เรียบง่าย เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม
ประกอบด้วยสีขาว 1 ส่วน และสีดำ 2 ส่วน สื่อถึงสีประจำสโมสร ตรงกลางบนพื้นสีขาว มีตัวอักษร FFC สีแดง ที่ย่อมาจาก Fulham Football Club
– ฉายา : “The
Cottagers” ที่แปลว่า ผู้อาศัยอยู่ในกระท่อม
เนื่องจากในช่วงศตวรรษที่ 19 มีนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน
เข้ามาอาศัยอยู่ในกระท่อมของวิลเลียม คราเวจ
แต่กระท่อมหลังนี้ได้ถูกไฟไหม้จนเสียหายทั้งหมดในปี 1888
– สนามเหย้า : ที่มาของชื่อสนาม “คราเวน คอทเทจ” ต้องย้อนไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 วิลเลียม คราเวน ขุนนางลำดับที่ 6 ของยุคบารอน
ได้สร้างกระท่อมที่มีป่าล้อมรอบ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว
คือรังเหย้าของสโมสรในปัจจุบัน
ลิเวอร์พูล
– ตราสัญลักษณ์ : ด้านบนสุดเป็นซุ้มประตู Shankly Gates หน้าทางเข้าสนามแอนฟิลด์
พร้อมกับคำขวัญประจำสโมสร “You’ll never walk alone” ส่วนสัตว์ที่อยู่บนโลโก้
คือนกไลเวอร์เบิร์ด (Liver bird) สัญลักษณ์ของเมืองลิเวอร์พูล
ซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่มีอยู่จริง ด้านข้างทั้ง 2 ข้าง
มีเปลวไฟ สื่อถึงการไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่ เมื่อปี 1989
– ฉายา : “The
Reds” หมายถึงสีแดง มาจากสีของเสื้อแข่งขันที่เริ่มใช้ครั้งแรก
หลังก่อตั้งสโมสรเพียง 4 ปี ก่อนที่ในปี 1964 ยุคที่บิล แชงคลีย์ เป็นผู้จัดการทีม
ได้ตัดสินใจให้ผู้เล่นสวมชุดแข่งขันสีแดงทั้งเสื้อและกางเกงเป็นครั้งแรก
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “แอนฟิลด์” (Anfield) มีที่มาจากชื่อของ Annefield ย่านเก่าแก่ที่อยู่ชานเมืองนิวรอสส์ เคาน์ตี้ ในเว็กซ์ฟอร์ด ประเทศไอร์แลนด์ และชาวไอริชได้หลั่งไหลย้ายมาตั้งถิ่นฐานในเมืองลิเวอร์พูลตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต
ลูตัน
ทาวน์
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร ด้านบนสุดเป็นรูปหมวก สื่อถึงอุตสาหหรรมที่สำคัญของเมือง
ส่วนด้านล่างมาจากตราประจำเมืองลูตัน ตรงกลางมีรูปผึ้งที่อยู่บนไม้กางเขน
เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการทำงานอย่างหนัก
นอกจากนี้ยังมีลัญลักษณ์อีก 4 อย่าง ประกอบด้วย
มัดข้าวสาลี สื่อถึงอุตสาหกรรมการถักทอด้วยฟาง, รังผึ้ง
คือตัวแทนของการถักทอด้วยฟาง, ดอกกุหลาบ
สื่อถึงตระกูลเนเปียร์ (Napier) ผู้นำอุตสาหกรรมการถักทอด้วยฟางเข้ามาในเมือง และดอกธิสเซิล คือสัญลักษณ์ของชาวสกอตแลนด์
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตระกูลเนเปียร์
– ฉายา : “The
Hatters” แปลว่า ช่างทำหมวก เนื่องจากเมืองลูตัน
เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมของการผลิตหมวก
ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่แพร่หลายมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และสินค้าสำคัญของเมืองนี้ ก็คือหมวกที่ทำจากฟางนั่นเอง
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “เคนิลเวิร์ธ โรด” มีที่มาจากชื่อถนน Kenilworth ที่เป็นจุดปลายทางอีกฟากหนึ่งของสนามเหย้า
แต่ที่ตั้งของสโมสร อยู่ที่ถนนเมเปิล (Maple) ได้ชื่อว่าเป็นสนามที่เล็กที่สุดในบรรดา 20 ทีม ของซีซั่น 2023/24
แมนเชสเตอร์
ซิตี้
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นวงแหวนสีขาว ด้านในมีลักษณะคล้ายโล่
ครึ่งบนของโล่เป็นรูปเรือ สื่อถึงสัญลักษณ์ของเมืองแมนเชสเตอร์
ส่วนครึ่งล่างของโล่ มีรูปดอกกุหลาบสีแดง สื่อถึงราชวงศ์แลงคาสเตอร์
และพื้นหลังสีฟ้าเข้ม มีแถบสีฟ้าอ่อนอยู่ 3 แถบ
หมายถึงแม่น้ำ 3 สายที่ไหลผ่าน คือ
แม่น้ำไอร์เวลล์, แม่น้ำเมดล็อก และแม่น้ำอิรค์
– ฉายา : “The
Citizens” มีที่มาจากการเปรียบเทียบฐานแฟนบอลในเมืองแมนเชสเตอร์
ซึ่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีจำนวนที่มากกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรืออีกนัยหนึ่งคือ
“เรือใบสีฟ้า” มีความเป็นท้องถิ่นมากกว่าทีมคู่ปรับร่วมเมืองนั่นเอง
– สนามเหย้า : ชื่อสนามเหย้าอย่างเป็นทางการคือ “ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม” แต่มีอีกชื่อหนึ่งคือ “เอติฮัด สเตเดี้ยม” ที่มาจาก Etihad บริษัทสายการบินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สปอนเซอร์หลักของสโมสร
แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ในปัจจุบัน มีเพียง 2 สีหลัก
คือสีเหลือง และสีแดง ด้านนอกมีชื่อสโมสร Manchester United ขนาบด้วยลูกฟุตบอล 2 ลูก
ด้านในมีลักษณะคล้ายโล่ ครึ่งบนของโล่เป็นรูปเรือ
สื่อถึงสัญลักษณ์ของเมืองแมนเชสเตอร์ ส่วนด้านล่างเป็นรูปปิศาจถือสามง่าม
ซึ่งนำมาไว้ในโลโก้เป็นครั้งแรกในช่วงยุค 1970s
– ฉายา : “The
Red devils” หรือ ปิศาจแดง มีที่มาจากฉายาของทีมรักบี้ซัลฟอร์ด เรด
(Salford Red) ที่เคยโด่งดังในอดีต ทำให้ในปี 1973 เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น
ได้นำมาเป็นฉายาเพื่อใช้ข่มขวัญทีมคู่แข่ง
– สนามเหย้า : สังเวียนลูกหนัง “โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด” อยู่ที่ย่าน Trafford ในเกรเทอร์ แมนเชสเตอร์ มีที่มาจากในสมัยก่อน มีครอบครัวตระกูล de
Trafford อาศัยอยู่ใน Old Trafford Hall ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งสนามแข่งขันของสโมสร
นิวคาสเซิล
ยูไนเต็ด
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร ดัดแปลงมาจากตราประจำเมืองนิวคาสเซิล ด้านบนประกอบด้วยสิงโต
สื่อถึงราชวงศ์ของอังกฤษ, ปราสาท สื่อถึงป้อมปราการของกษัตริย์นอร์แมน
และธงที่อยู่บนยอดปราสาท คือธงของโบสถ์เซนต์ จอร์จ
ส่วนด้านล่าง
มีม้าน้ำ 2 ตัว ทางซ้ายและขวา สื่อถึงความผูกพันระหว่างเมืองกับทะเล
เพราะเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลเป็นจำนวนมาก
ตรงกลางมีโล่ลายทางสีขาว-ดำ หมายถึง สีประจำสโมสร
– ฉายา : “The
Magpies” คือนกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะของลำตัวเป็นลายทางสีขาว-ดำ
คล้ายกับเสื้อแข่งขันชุดเหย้าของสโมสร ซึ่งในอดีตเคยเชื่อกันว่า
มีนกชนิดนี้หลายตัว บินมาทำรังบริเวณสนามแข่งขันของสโมสร
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “เซนต์ เจมส์ พาร์ค” มาจากชื่อของโรงพยาบาล และโบสถ์เซนต์ เจมส์
(St. James) ที่สร้างมาตั้งแต่ยุคอดีต
ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์แฮนค็อก ก่อนจะนำไปใช้ตั้งชื่อรังเหย้าของสโมสร
ที่เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1892
น็อตติ้งแฮม
ฟอเรสต์
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีลายเส้นสีแดง ซึ่งหมายถึงสีประจำสโมสร
เป็นรูปต้นโอ๊คที่อยู่ในป่าเชอร์วูด ด้านล่างมีเส้นหยัก 3 เส้น สื่อถึงแม่น้ำเทรนท์ (Trenr River) ที่ไหลผ่านเมือง
ส่วนด้านบนมีดาว 2 ดวง
สื่อถึงการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัยติดต่อกัน
ในปี 1979 และ 1980
– ฉายา : ฉายาแรก “Forest” มาจากที่ตั้งของสโมสรในปัจจุบัน
เคยเป็นพื้นที่ป่ามาก่อน และอีกฉายาหนึ่งคือ “The Reds” ซึ่งมาจากชื่อของจูเซ็ปเป้
การิบัลดี้ นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพชาวอิตาลี
ที่มักจะสวมเสื้อสีแดงเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “ซิตี้ กราวน์” มีที่มาจากเหตุการณ์สำคัญในปี 1898 สโมสรได้ย้ายรังเหย้าจาก Town Ground เป็น City
Ground เพื่อเฉลิมฉลองในวาระที่น็อตติ้งแฮม
ได้รับการยกฐานะให้เป็น “เมือง” เมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น
เชฟฟิลด์
ยูไนเต็ด
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร มีลักษณะเป็นวงแหวนสีแดง ด้านในเป็นพื้นสีดำ
มีดอกกุหลาบสีขาว สื่อถึงราชวงศ์ยอร์ค และดาบคู่สีขาว สื่อถึงสัญลักษณ์ของสโมสร
ซึ่งสีทั้ง 3 สีที่อยู่บนโลโก้
ก็อยู่ในชุดแข่งขันของสโมสรด้วย
– ฉายา : “The
Blades” แปลว่า ดาบคู่ เนื่องจากเมืองเชฟฟิลด์
เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมเหล็ก
ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่แพร่หลายมาตั้งแต่ช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ
นำไปใช้ผลิตสินค้าที่สำคัญ นั่นคือมีด และดาบ
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “บรามอลล์ เลน” มีที่มาจากตระกูลบรามอลล์ (Bramall
family) ซึ่งเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจผลิตตะไบ และเครื่องมือแกะสลัก
อีกทั้งยังเป็นเจ้าของ The Ole White House ซึ่งปัจจุบันเป็นผับที่ตั้งอยู่ชั้นบนของสนาม
ทอตแน่ม
ฮอตสเปอร์
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ในปัจจุบัน
เป็นรูปไก่ตัวผู้มีเดือยแหลมอยู่ข้างหลังเท้ากำลังเหยียบลูกฟุตบอล สื่อถึงเซอร์
เฮนรี่ เพอร์ซีย์ (Sir Henry Percy) ขุนนางผู้ปกครองนอร์ทธัมเบอร์แลนด์
ในช่วงศตวรรษที่ 14 ซึ่งชื่นชอบกีฬาชนไก่เป็นอย่างมาก
– ฉายา : “The
Lilywhites” หมายถึง สีขาว
มาจากสีของเสื้อแข่งขันที่เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี 1898 โดยได้แรงบันดาลใจจากสโมสรเปรสตัน นอร์ทเอนด์ ที่สวมชุดแข่งสีขาว
และสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดแบบไร้พ่ายในฤดูกาล 1888/89
– สนามเหย้า : ชื่อสนามแข่งขันในปัจจุบันคือ “ทอตแน่ม ฮอทสเปอร์ สเตเดี้ยม” ซึ่งสร้างขึ้นใหม่แทนที่ไวท์ ฮาร์ท เลน บางคนอาจเรียกว่า “นิว ไวท์ ฮาร์ท เลน” แต่ในอนาคตอาจมีการขายสิทธิ์ชื่อสนามให้กับสปอนเซอร์ทางธุรกิจ
เวสต์แฮม
ยูไนเต็ด
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม มีขอบสีฟ้า
และพื้นสีแดงอมม่วง ซึ่งสื่อถึงสีประจำสโมสร ตรงกลางมีรูปค้อนคู่ไขว้กัน
เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมต่อเรือที่เฟื่องฟูในสมัยก่อน
– ฉายา : ฉายาแรก “The Irons” มาจากชื่อของสโมสรในยุคเริ่มก่อตั้ง
คือ Thames Ironworks FCและอีกฉายาคือ “The
Hammers” หรือ ค้อน เนื่องจากในอดีต
ผู้คนจะได้ยินเสียงค้อนทุบดังไปทั่วบริเวณอู่ต่อเรือเป็นประจำ
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “ลอนดอน สเตเดี้ยม” เดิมใช้ชื่อว่า โอลิมปิก สเตเดี้ยม
ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ของสหราชอาณาจักร ปัจจุบันกลายเป็นรังเหย้าของสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด
วูล์ฟแฮมป์ตัน
วันเดอร์เรอร์ส
– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน ใช้ 2 สีหลัก
คือสีเหลือง-ดำ ซึ่งหมายถึงสีประจำสโมสร มีโครงสร้างเป็นกรอบรูปหกเหลี่ยมสีดำ ข้างในมีพื้นสีเหลือง
และรูปหมาป่าสีดำ ซึ่งมีส่วนของสีขาวแทรกอยู่ หมายถึงดวงตาของหมาป่า
– ฉายา : “Wolves”
ย่อมาจากชื่อเต็มของเมือง Wolverhampton ซึ่งพ้องกับคำว่า wolves ที่แปลว่า
ฝูงหมาป่า และได้นำหมาป่ามาอยู่ในโลโก้ของสโมสรตั้งแต่ปี 1979 และฉายา “The Wanderrers” มาจากชื่อทีมในอดีต คือ Wanderrers
FC
– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม” มีที่มาจากชื่อของ Benjamin
Molineux นักธุรกิจที่เข้ามาอาศัยในเมืองวูล์ฟแฮมป์ตันตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 และได้ซื้อที่ดินซึ่งกลายมาเป็นที่ตั้งรังเหย้าของสโมสรในปัจจุบัน